Racha Winich
March 29, 2024, 01:20:15 am
Welcome, Guest. Please login or register.

Login with username, password and session length
News: Welcome to SMF For Free
 
  Home Help Search Gallery Staff List Calendar Members Login Register  

ความจริงของ Aura

Pages: [1]
  Print  
Author Topic: ความจริงของ Aura  (Read 72 times)
oa
Administrator
Sr. Member
*****

Karma: +0/-0
Posts: 351


มี"สติ" รู้กาย รู้ใจอย่างเนืองๆ


View Profile WWW
« on: March 03, 2010, 09:32:02 pm »

แม้วิทยาศาสตร์บอกอะไรเราไม่ได้ทั้งหมด
แต่ก็ช่วยให้เรามีคำอธิบายที่ชัดเจน
ไม่ต้องเดาไปต่างๆนานา
ตามความเชื่ออันเป็นอัตโนมัติของแต่ละคน
ซึ่งถ้าเถียงกันแบบอาศัยความเชื่อท่าเดียว
เราจะไม่พบข้อยุติใดๆ
ต่อเมื่อมีหลักฐานที่จับต้องได้ตรงกัน
แม้จะยังไม่พบข้อยุติ
อย่างน้อยก็พบข้อสรุปเบื้องต้นได้บ้าง

ตัวอย่างเช่นสมัยก่อนเราไม่มีทางพบข้อยุติ
ว่าอะไรเช่นน้ำมนต์และพระเครื่อง
มีดีต่างจากน้ำธรรมดาดินธรรมดาจริงๆ
หรือว่าเป็นเพียงการสร้างอุปาทาน
ดีแต่มีผลแค่ทางจิตใจท่าเดียวกันแน่

กระทั่งเริ่มมีการใช้เทคนิคถ่ายภาพแบบเกอร์เลี่ยน
นำไปถ่ายสิ่งต่างๆที่เชื่อกันว่าเป็นวัตถุมงคล
เราจึงได้ "ข้อสรุปเบื้องต้น" ว่าวัตถุมงคลเหล่านั้น
มีความแตกต่างจากวัตถุธรรมดาทั่วไป
แม้จะยังไม่ได้ "ข้อยุติ" ที่แน่ชัดว่าแตกต่างนั้น
แตกต่างอย่างไร แค่ไหน เอาอะไรเป็นเครื่องบอก

ปัจจุบันเราสามารถหาซื้อกล้องเกอร์เลี่ยนได้ง่าย
ถ้าสืบค้นดูในแหล่งขายอย่าง
Amazon.com และ eBay.com
คุณจะพบทั้งกล้องเกอร์เลี่ยนราคาแค่หมื่นเดียว
ตลอดจนอุปกรณ์เสริม
รวมทั้งหนังสือที่รวมเรื่องราวเกี่ยวกับการประยุกต์
เอามาอธิบายเรื่องพลังจิตและสิ่งลึกลับต่างๆ
นี่เป็นเรื่องที่แพร่หลายมาเป็นสิบปี
แต่ยังมีคนพูดถึงกันน้อย
เพราะภาพถ่ายที่ได้จากเทคนิคเกอร์เลี่ยนนั้น
บอกอะไรได้แค่หยาบๆว่า "ดี" หรือ "ไม่ดี"
"สว่าง สวย" หรือ "หม่นหมอง"

พวกขายพระเครื่องเดี๋ยวนี้เขาก็พิสูจน์องค์ที่ราคาแพง
ด้วยภาพถ่ายออร่าซึ่งมาจากกล้องเกอร์เลี่ยน อย่างเช่นที่
http://www.ounamilit.com/b44_auracolor.htm
ซึ่งดูด้วยตาเปล่าได้ว่าต่างกันจริงๆ
แต่คนทั่วไปไม่รู้อยู่ดีว่าที่สีต่างกันนั้นหมายความว่าอย่างไร
เป็นไปตามนิยามของสีที่อธิบายกำกับแน่หรือเปล่า
ฉะนั้น ความเคลือบแคลงจึงยังไม่หมดไปโดยง่าย

คุณสมเจตน์ ศฤงคารรัตนะ
เจ้าของเว็บ http://saringkan.com
ซึ่งเป็นหนึ่งในกำลังสำคัญที่ร่วมกันสร้างนิตยสารธรรมะใกล้ตัว
แกมีกล้องเกอร์เลี่ยน ผมจึงไหว้วานให้ช่วยถ่ายภาพวัตถุต่างๆ
ตามที่ผมคิดว่าน่าจะเห็นได้ชัดว่าต่างกันอย่างไร
อย่างไรเข้าทางมืด อย่างไรเข้าทางสว่าง
ต้องขอขอบคุณคุณสมเจตน์ไว้ ณ ที่นี้
เนื่องจากแต่ละภาพต้องใช้ต้นทุนสูงพอควร

มาเริ่มกันจากอะไรที่ใกล้ตัวก่อนครับ
ลองให้น้ำ "ฟังเสียง" ดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น
วิธีก็ง่ายๆ รินน้ำใส่แก้ว จับแก้วใส่ตู้
เอาลำโพงขนาบซ้ายขวา



จากนั้นก็นำแก้วน้ำมาวางหน้าฉากดำ
เพื่อถ่ายรูปตามเทคนิคเกอร์เลี่ยน



รูปนี้เป็นน้ำกรองที่ได้จากก๊อกธรรมดา
ยังไม่ได้ฟังเสียง ยังไม่ได้ทำอะไรทั้งสิ้น
ถ่ายออกมาเราจะพบว่ามีความสว่างพอควร
เนื่องจากน้ำประปาที่สะอาดมีความชุ่มชื่น
และเต็มไปด้วยพลังหล่อเลี้ยงชีวิตอยู่แล้ว
ถ่ายภาพน้ำที่ไหน เมื่อไร โดยใคร
ก็น่าจะได้ผลเป็นความสว่างไม่ต่างจากที่เห็นสักเท่าไร
เว้นแต่น้ำนั้นจะมีความสกปรกในทางใดทางหนึ่ง



ส่วนนี่เป็นรูปออร่าของน้ำที่ฟังเสียงพระเทศน์
คุณสมเจตน์ได้เลือกเสียงของพระรูปหนึ่ง
ซึ่งประชาชนกำลังให้ความนับถือกันทั่วประเทศ
ค่าที่ชักชวนให้คนจำนวนมากหันมาสนใจเจริญสติ
อันเป็นธรรมะขั้นสูงสุดของพุทธศาสนา
ก็ขอให้ดูไว้เป็นตัวอย่างว่าความสว่างของเสียงท่าน
เมื่อประจุลงในน้ำผ่านลำโพงแล้ว
สว่างขึ้นจากเดิมถึงอย่างนี้



ส่วนน้ำอีกแก้วหนึ่งให้ฟังเสียงปลุกระดมคนมาฆ่ากัน
รูปออร่าหลังฟังเสียงแห่งความมืดดังกล่าว
ก็กลายเป็นอะไรแบบนี้ไปได้



จริงๆรูปออร่าไม่ได้บอกอะไรมากไปกว่าที่เห็นกับตาครับ
เดิมน้ำมีความสว่างอยู่บ้าง
ขนาดที่ถ่ายแล้วแสงสว่างเฉิดฉายจนไม่เห็นตัวแก้ว
แต่น้ำที่ประจุความสว่างของพระที่เทศน์ธรรมอันบริสุทธิ์
ยังผลให้ความสว่างที่มีอยู่เดิมกลับยิ่งจัดจ้าเป็นทวีคูณ
ขอบสีเหลืองอ่อนสำหรับวงการออร่า
เชื่อกันว่าแทนความหมายของกระแสธรรมะชั้นสูง
หากต่อไปมีเทคนิคการถ่ายทำที่ละเอียดและกว้างขวางขึ้น
เราอาจจะประจักษ์ตาทีเดียวว่าน้ำสว่างขึ้นกว่าเดิมเป็นล้านเท่า
และสีสันที่แท้ของน้ำหลังประจุเสียงเทศน์
ก็ไม่ใช่แค่สวยสบายตาธรรมดาอย่างนี้หรอก
แต่ควรจะสวยวิจิตรราวกับแสงทิพย์เลยทีเดียว

ส่วนน้ำที่ฟังเสียงมืดนั้น ลดความสว่างจากคุณสมบัติเดิม
ขนาดที่เห็นตัวแก้วได้เกือบชัด
รังสีทะมึนที่เห็น ก็ขอให้ใช้ใจของคุณเองตีความเอาก็แล้วกัน
ว่ามันชวนให้ขนหัวลุกหรือเปล่า

เมื่อประจักษ์กับตาว่าสีออร่าแยกแยะได้แค่คร่าวๆ หยาบๆ
ว่าวัตถุทั้งหลายมีความแตกต่างกันอย่างไร
เป็นของสว่างหรือของมืด
เราก็นำไปลองดูวัตถุมงคลที่ปัจจุบันนิยมกันมาก

มันน่าตกตะลึงงง เมื่อวัตถุมงคลบางชิ้นนั้น
แม้ได้รับมาจากมือผู้ทรงศีล
ที่แท้อาจถูกส่งทอดมาจากคนอื่น ที่ไม่มีศีลธรรมก็ได้
ดังเช่นที่ทันตแพทย์หญิงนางหนึ่ง
เธอมีสร้อยประคำซึ่งได้รับจากมือบุคคลที่เธอนับถือมาก
จึงคิดจะนำมาลองถ่ายภาพเพื่อดูออร่าว่าจะเป็นอย่างไร



ผลปรากฏว่าเป็นสีเขียวคล้ำ
ซึ่งต่างกันมากกับสีของความสว่างแห่งธรรมะ



เพื่อให้เกิดความแน่ใจว่าอย่างไรจึงดีกว่ากัน
เธอได้สวดมนต์อิติปิโส ซึ่งเป็นบทสวดวิเศษสูงสุด
เนื่องจากเป็นพุทธพจน์
และเป็นการกล่าวสรรเสริญพระรัตนตรัย
ไม่มีการเรียกร้องให้คุ้มครองหรือเอาของดีเข้าตัวใดๆ
จิตใจจึงสะอาด ผู้สวดด้วยความนุ่มนวลทุกคน
ย่อมรู้สึกได้ถึงกระแสเมตตาธรรมอันเยือกเย็นไพศาล



หลังจากสวดประจุความสว่างลงน้ำเสร็จ
ก็นำน้ำในแก้วมาถ่ายรูปดูออร่าก่อนเป็นหลักฐาน
จะเห็นความน่าอัศจรรย์ได้อย่างชัดเจน
ถ้าคุณมีกล้องเกอร์เลี่ยน ผมขอให้ลองดูเลยครับ
เอาบทสวดทุกบทในโลกมาสวดโดยคนๆเดียวกัน
ดูเลยว่ามีบทไหนให้ความสว่างได้เท่าอิติปิโสบ้าง
แล้วคุณจะตาสว่าง ไม่ไปเอาบทไหนมาสวดอีกเลย
ชาวพุทธจำนวนมากมีบทสวดศักดิ์สิทธิ์ติดตัวขึ้นใจอยู่แล้ว
แต่อนิจจา หารู้ถึงความศักดิ์สิทธิ์ยิ่งใหญ่นั้นไม่
มัวแต่วิ่งหาเครื่องรางของขลัง
จนไปได้ของที่ขลังไม่จริงมาก็บ่อย



บุคคลผู้เป็นพยานที่น่าเชื่อถือท่านหนึ่ง
เป็นตัวแทนนำน้ำซึ่งบัดนี้
ได้ประจุความสว่างของอิติปิโสมาราดประคำ



จากนั้นก็ได้มีการถ่ายรูปออร่าของประคำซ้ำอีกครั้ง
ผลที่เกิดขึ้นต่างไปเป็นคนละเรื่อง
ดูแล้วใกล้เคียงกับน้ำมนต์อันเกิดขึ้น
จากบทสวดอิติปิโสมากทีเดียว



จากรูปทั้งหมดที่แสดงมา
ก็เพื่อบอกว่าเดี๋ยวนี้สิ่งที่ตาเห็นไม่ได้
เราสามารถใช้เทคโนโลยีเห็นแทน
และนำมาแสดงกับตาเปล่าของเราได้แล้ว
เรื่องที่เคยต้องอาศัยความเชื่ออย่างเดียว
จนใกล้เคียงกับหลุมดำของความงมงาย
จึงกลายเป็นอะไรที่สามารถจับต้อง
และกล่าวถึงได้เต็มปากเต็มคำมากขึ้น

สิ่งที่คนไม่รู้ หรือรู้แล้วลืมนึกถึง
ก็คือร่างกายมนุษย์ประกอบด้วยน้ำถึง ๗๐%
เมื่อใช้จิตไปประกอบกรรมขาวมากๆ
ถ่ายรูปออร่าจึงออกมาขาวสว่าง
แต่เมื่อใช้จิตไปประกอบกรรมดำมากๆ
ถ่ายรูปออร่าจึงออกมาช้ำเลือดช้ำหนอง
น่ากลัวมากกว่าน่าดู
จิตคนอ่อนไหวได้ยิ่งกว่าน้ำหลายร้อยเท่า
น้ำเป็นอย่างนี้ จิตจะไปเหลือหรือ?

แล้วแปลกนะครับ
ยุคอินเตอร์เน็ตที่แสนล้ำสมัยอย่างปัจจุบัน
กลับมีหลายต่อหลายคนหวาดระแวง
หรือถึงขั้นตกประหวั่นขวัญผวา
ว่าตนจะโดนคุณไสยที่ใครเขาปล่อยมาเล่นงานบ้างหรือไม่

จริงๆหลักการของคุณไสยมีสองฝั่ง
ฝั่งสว่างกับฝั่งมืด เรียกไสยขาวและไสยดำ
ไสยดำเอาไว้ทำร้าย ไสยขาวเอาไว้ช่วยคน
ตลอดจนช่วยให้พ้นจากกระแสมาร
ซึ่งในคัมภีร์พระไตรปิฎกกล่าวถึงไว้หลายแห่ง
ทว่าเรามักคิดว่าเป็นเรื่องหลอกหรือแต่งเติมในภายหลัง

เอาเป็นใครสงสัยว่าตัวเองอาจถูกของ
หรืออาจถูกมารครอบอยู่
ผมมีวิธีพิสูจน์ให้รู้ตัวได้ง่ายๆนะครับ
ให้ถือศีล ๕ จนสะอาดอย่างน้อยหนึ่งวัน
ตกเย็นสำรวจความสว่างของศีล
คุณจะรู้สึกถึงพลังอำนาจฝ่ายดีที่เกิดขึ้นในตัวเอง

จากนั้นให้ปิดตาลง
ท่องอิติปิโสแบบเปล่งเสียงเต็มปากเต็มคำในอาการสบาย
สวดกี่จบก็ได้ จนกว่าจะรู้สึกถึงความสว่าง อบอุ่น สะอาด
และเป็นอันเดียวกับความศักดิ์สิทธิ์ของพระรัตนตรัย

จากนั้นให้อธิษฐานในใจ
ถามเข้าไปที่ความสว่างซึ่งเกิดขึ้นกลางใจตนเอง
ว่ามีของมืดใดครอบคลุมเราอยู่หรือไม่ ขอให้รู้ได้ด้วยเถิด
แล้วลืมตาลุกขึ้นเดินอย่างมีสติ
ไปดูกระจกเงาที่อยู่ใกล้ที่สุด
เอาแบบบานใหญ่ที่เห็นได้ครึ่งตัวจะดี
หากมีกระแสมืดๆคลุมอยู่
คุณจะรู้สึกสัมผัสได้ราวกับควันดำจากกองไฟ
อาจลอยวนอยู่รอบตัว หรือขมุกขมัวอยู่ทั่วหน้า

เห็นอย่างนั้นไม่ต้องตกใจ
เพราะเงาดำจะหยั่งลงถึงใจไม่ ได้ ถ้าคุณไม่รับ
อย่างมากก็กระตุ้นให้คิดในทางบาป
ถ้าไม่คิดตามกระแสบาปไป
ก็ไม่เกิดกรรมติดตัวคุณได้

จากนั้นให้เร่งหมั่นสร้างสมความสว่างให้หนักแน่นที่สุด
ทั้งในด้านของน้ำใจคิดเสียสละ
น้ำใจให้อภัย ตลอดจนมีใจเด็ดเดี่ยวรักษาศีล ๕
ถ้าขนาดยอมตายดีกว่ายอมเสียศีลได้ยิ่งดี
เท่านี้แม้มีเมฆหมอกดำคลุมตัวหนาทึบ
ที่สุดมันก็ต้องพ่าย สลายตัวไปไม่เหลือ
ตามหลักของอนิจจังขาขึ้น
ถ้าฉุดลงต่ำไม่ได้ ก็กลายเป็นผลักดันให้ยิ่งสูงส่งเป็นทวีคูณครับ

ดังตฤณ
กุมภาพันธ์ ๕๓



http://www.dlitemag.com/
« Last Edit: March 03, 2010, 09:40:03 pm by oa » Report Spam   Logged

Share on Facebook Share on Twitter


Pages: [1]
  Print  
 
Jump to:  

Powered by EzPortal
Bookmark this site! | Upgrade This Forum
SMF For Free - Create your own Forum


Powered by SMF | SMF © 2016, Simple Machines
Privacy Policy